การปลูกมันสำปะหลัง เทคนิคการปลูกมันสำปะหลังให้ได้น้ำหนักเฉลี่ยไร่ละ 10 ตันต่อไร่นั้น ไม่ยากเลยโดยไม่จำเป็นต้องง้อปุ๋ยเคมีและสารเคมีเลยได้ ด้วยโปรแกรมเลียนแบบธรรมชาติ
โดยใช้เทคนิค "ดินดี คือปุ๋ยที่ดี"
ซึ่งในปัจจุบันพื้นดินที่ใช้ทำการเกษตรมีความเสื่อมโทรมลงไปอย่างมากเนื่อด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ด้วยการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างต่อเนื่องและมากเกินไป จนทำให้ดินมีปัญหาในการปลดปล่อยแร่ธาตุอาหาร ให้กับต้นพืชที่ปลูก ซึ่งปุ๋ยเคมีนั้นมีประโยชน์สำหรับพืช แต่ถ้าใช้ในปริมาณที่มากเกินไปก็เกิดผลเสีย ทำให้พืชไม่กินปุ๋ยทำให้ดินแน่นทึบ ไม่อุ้มน้ำจึงทำให้เกษตรกรทุกๆคน พยามใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อจะหวังว่าจะได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย กลับกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนในการผลิตแทน
ดังนั้น ในการปลูกมันสำปะหลังให้ผลผลิตสูงๆ นั้นมีจุดสำคัญคือ ต้องตัดกิ่งมันให้มีความยาวไม่มาก คือความยาวประมาณ "18-20 เซนติเมตร" และต้องตัดตรง ไม่ควรตัดด้วยมีด เพราะจะทำให้ตามันแตก ทำให้มีผลต่อการออกราก เพราะรากคือหัว หัวคือราก นั่นเอง และที่สำคัญในการปลูกมันสำปะหลังนั้น ในปัจจุบันมันของเกษตรกร หัวมันสำปะหลังต่อตัน ต่อเง้า มีเพียงชั้นเดียว แต่ในทฤษฎีของเรานั้นสามารถให้มันสำปะหลังมีจำนวนชั้นมากกว่า 1 ชั้น ได้โดยการเปลี่ยนตาใบ เป็นตาราก โดยการบ่มตามันสำปะหลัง โดยจะมีรายละเอียดในการปฎิบัติและขั้นตอนที่จะแนะนำ และมีผลงานจริง ที่เกษตรกรทำแล้วได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ถึงจะได้วิธีการได้จำนวนหัวมันสำปะหลังได้มากกว่า 1 ชั้นแล้ว แต่ก็ยังจะประสบปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ที่เกษตรกรประสบปัญหา คือ ปลูกมันสำปะหลังแล้วมันไม่ลงหัว นั่นคือปัญหาหนึ่งที่เกษตรกรประสบปัญหาในปัจจุบัน และทุกๆคนพยายามเพิ่มการลงหัวโดยการใช้ปุ๋ยระเบิดหัวมัน แต่กลับทางกันโดยหัวมันก็ยังไม่ใหญ่ ปุ๋ยที่ใส่ไปก็ยังละลายไม่หมด เพราะเกษตรกรใส่ปุ๋ยระเบิดหัวมันในช่วงมันอายุ 8-10 เดือน โดยการใส่ปุ๋ยในช่วงนี้ จะไม่มีน้ำลดหรือไม่มีฝนตก ทำให้การใส่ปุ๋ยในช่วงนี้ไม่ประสพความสำเร็จเท่าที่ควรนั้นเอง แต่การใส่ปุ๋ยให้ประสพความสำเร็จและได้ประโยชน์สูงสุดควรใส่ปุ๋ยแบบขนมชั้นคือการไถยกร่องหรือการอุ้มขึ้นร่องแล้วทำการ
ใส่ปุ๋ยแล้วอุ้มร่องกลบทับก่อนจะทำการปลูกท่อนมัน จึงจะทำให้ปุ๋ยที่ใส่ลงไปมีประโยชน์และมันสำปะหลังนำปุ๋ยมาใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และปุ๋ยเคมีที่ใส่ก็ไม่สูญหายไปไหน ไม่ถูกแดดเผาทำลายธาตุอาหารก็ไม่เสื่อมสลาย มีคุณภาพเหมือนเดิม
ในการจะทำให้ต้นมันสำปะหลังเติบโตแข็งแรงและสมบูรณ์ได้ดีนั้น ผู้ปลูกควรดูแลตั้งแต่ต้นมันเริ่ม
งอกออกจากกิ่งท่อนพันธุ์ โดยการให้อาหารต้นมันสำปะหลังโดยการฉีดพ่นทางใบจะได้ผลดีกว่าการใส่
ปุ๋ยทางดิน เพราะตามธรรมชาตินั้นพืชจะรับอาหารทางใบได้ดีกว่าทางดินถึง 70% เลย แต่ทางดินนั้นพืช
รับได้เพียง 30% จึงขอแนะนำให้อาหารทางใบจะดีกว่า และการให้อาหารมันสำปะหลังนั้น ควรให้ครบทั้ง
ธาตุอาหารหลักธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม หรือ16ธาตุอาหารนั้้นเอง
แต่ในปัจจุบันเกษตรกรก็ยังให้อาหารพืชเองยังไม่ครบ เพราะแค่ธาตุอาหารหลักคือไนโตรเจน,โปรตัสเซียม,ฟอสฟอรัส ก็อาจให้ไม่ครบแล้วอาหารรองกับอาหารเสริมเล่าจะครบหรือ? ดังนั้นทางเราจึงคิดค้นสูตรอาหารเข้มข้นและธาตุอาหารแบบครบครันมาใช้กับต้นมันสำปะหลังของพวกเรา
จึงทำให้เราผลิตมันสำปะหลังได้จำนวนต้อไร่สูงกว่าคนอื่น แต่ต้นทุนต่ำกว่าดังรูปด้านล่างนี้
ยิ้มออกและดีใจที่ได้มันโดยเฉลี่ยไร่ละกว่า15ตันนะครับ |
ดันไหวมั๊ยลูก ซ้ายมือปลูกโดยใช้ปุ๋ยช่วงลงหัว ขวามือใช้การสั่งลงหัวด้วยการสารฉีดทางใบ |
ยิ้มกับความภูมิใจและสำเร็จ |
หัวใหญ่แม้บริเวณข้างๆรก |
และในสาระสำคัญที่มันไม่ยอมลงหัว หรือหัวมันมีขนาดเล็ก เพราะเลือกใช้ปุ๋ยเคมีไม่เหมาะกับช่วงเวลา ที่มันสำปะหลังกำลังจะลงหัว หรืออาจเกิดจากในพื้นดินที่ปลูก ไม่มีแร่ธาตุ อาหารที่จำเป็นในการลงหัวนั่นเอง
ซึ่งทางเรากำหนดให้มันลงหัวได้โดย การฉีดพ่นธาตุอาหารที่จำเป็น ในการสั่งให้มันลงหัว แต่ในการสั่งลงหัวนั้นทางเคมีก็สามารถสั่งให้มันลงหัวได้เช่นกัน แต่กลับทำให้ต้นมันสำปะหลัง หยุดการเจริญเติบโตไปด้วย ทำให้ทุกคนไม่อยากใช้กันซักเท่าไหร่ เพราะมีผลต่อต้นมันสำปะหลัง ในเวลาที่นำไปทำท่อนพันธุ์ เพราะลำต้นพันธุ์จะสั้น แต่การฉีดพ่นด้วยธาตุอาหารของเรานั้น จะไปเปลี่ยนทิศทางการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง ให้เปลี่ยนแปลงจากแนวตั้ง (Vertical) ไปเป็นแนวนอน (Horizontal) แทน แต่การเจริญเติบโตของต้นมันสำปะหลังยังคงเดิม และโตอย่างต่อเนื่องอยู่ โดยแนะนำให้ฉีดพ่นในอายุมัน "3 เดือนครึ่ง ในการปลูกมันระบบน้ำ " แต่ถ้าปลูก"แบบธรรมชาติที่ไม่มีระบบน้ำจะให้ฉีดพ่นอายุ 4 เดือนครึ่ง ไม่เกิน 5 เดือนครึ่ง" ซึ่งจะเหมาะสมกับการสั่งลงหัวของมันสำปะหลังเป็นที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้มันสำปะหลัง ลงหัวได้มากถึง 80-90 % ทีเดียว หากอายุมันมากกว่านี้ ก็จะได้ผลน้อย ต่ำกว่า 50% จึงไม่แนะนำให้ฉีดพ่นหลังจากอายุมันเกิน 6 เดือนแล้ว
และอีกประเด็นหนึ่งที่สามารถทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นได้โดยการเพิ่มมูลค่าของ ผลิตผลที่ตนผลิต ซึ่งการลดต้นทุนคือการจัดการดูแลอย่างถูกวิธี ตัวอย่างเช่นการเตรียมท่อนพันธุ์ ระยะการปลูก การให้อาหารแก่ต้นมันสำปะหลัง เป็นต้น
ติดต่อ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
คุณ จักกฤษ ตรีทิพย์วัฒนา (เอ็ม) 081-0460335
ดิสดาย
ดิสดาย
เทคโนโลยีใหม่ในการดายหญ้า
-
สำปะหลังที่ปลูกในระยะชิด
คิดค้นโดยตัว ผมเอง ประธานศูนย์สาขาชมรมเกษตรอินทรีย์ก้าวหน้า
เพชรบูรณ์ เนื่องด้วยการใช้คนงานดายหญ้าโดยใช้จอบนั้น เมื่อดายหญ้าไป
นานๆและอากาศที่ร้อนจะทำให้คนงานดายหญ้าได้จำนวนน้อยเนื่องจาก
อากาศร้อนและจอบมีน้ำหนักมาก และยิ่งกว่านั้นเวลาช่วงฝนตก ไม่สามารถ
ดายหญ้าได้เลย เพราะจะทำให้ดิน ติดจอบและหญ้าที่ดายก็ไม่ตาย เนื่องจากมี
ดินติดมาด้วย เมื่อเปลี่ยนมาใช้เสียบก็ยังมี ลักษณะเช่นเดียวกับที่ใช้จอบดาย
หญ้า แต่เมื่อมีใช้ดิสด์ดายหญ้าเกิดความคล่องตัวขึ้น คนงานทำงานได้ไวขึ้น
ไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อยและหนัก ทำงานสบายกว่าจอบทำงานได้ทั้งวันซึ่งจะดูได้
จากขั้นตอนการทำงาน ด้วยความปรารถนาให้ผู้ใช้ดิสด์ดาย ทำงานอย่างมี
ความสุข
เพชรบูรณ์ เนื่องด้วยการใช้คนงานดายหญ้าโดยใช้จอบนั้น เมื่อดายหญ้าไป
นานๆและอากาศที่ร้อนจะทำให้คนงานดายหญ้าได้จำนวนน้อยเนื่องจาก
อากาศร้อนและจอบมีน้ำหนักมาก และยิ่งกว่านั้นเวลาช่วงฝนตก ไม่สามารถ
ดายหญ้าได้เลย เพราะจะทำให้ดิน ติดจอบและหญ้าที่ดายก็ไม่ตาย เนื่องจากมี
ดินติดมาด้วย เมื่อเปลี่ยนมาใช้เสียบก็ยังมี ลักษณะเช่นเดียวกับที่ใช้จอบดาย
หญ้า แต่เมื่อมีใช้ดิสด์ดายหญ้าเกิดความคล่องตัวขึ้น คนงานทำงานได้ไวขึ้น
ไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อยและหนัก ทำงานสบายกว่าจอบทำงานได้ทั้งวันซึ่งจะดูได้
จากขั้นตอนการทำงาน ด้วยความปรารถนาให้ผู้ใช้ดิสด์ดาย ทำงานอย่างมี
ความสุข